วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ปรีดี พนมยงค์กับการเปลี่ยนแปลงประเทศ

นายปรีดี พนมยงค์

ชีวประวัติ ปรีดี พนมยงค์



ปรีดี พนมยงค์ เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2443 ถือ กำเนิดในเรือนแพหน้าวัดพนมยงค์ อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บิดาชื่อนายเสียง เป็นคนเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว ซึ่งมีบรรพบุรุษข้างปู่สัมพันธ์กับพระเจ้าตากสิน มารดาชื่อนางจันทน์ สืบเชื้อสายมาจากพระนมแห่งกษัตริย์พระองค์หนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชื่อ "ประยงค์" ซึ่งเป็นผู้สร้างวัดห่างจาก กำแพงพระราชวังด้านตะวันตกชื่อ วัดนมยงค์ หรือ "พนมยงค์" เมื่อครั้งมีการประกาศพระราช บัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ.2456 ครอบครัวนี้จึงได้ใช้นามสกุลว่า "พนมยงค์"



การเปลี่ยนแปลงประเทศในยุคสมัยของนายปรีดี พนมยงค์นั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้ นายปรีดีพนมยงค์ ได้ทำการปฏิวัติการเปลี่ยนระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองแบบรัฐสภาแทน รัฐสภามีบทบาทอย่างยิ่งและบุคคลที่มีความสำคัญและอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือ นายปรีดี พนงยงค์ นอก จากจะมีความสำคัญในเรื่องของการเปลี่ยนประเทศแล้วนายปรีดียังถือว่าเป็นนัก คิดที่สร้างแนวคิดแปลกใหม่ให้แก่ประเทศและแก่สังคมไทยอีกทั้งยังมีผลต่อการ พัฒนารูปแบบการปกครอง การคิด รวมทั้งการอธิบายสังคมไทยอย่างมากมายเลยทีเดียว



รัฐธรรมนูญกับความคิดทางการเมืองไทยของปรีดี พนมยงค์



รัฐ ธรรมนูญกับความคิดทางการเมืองของท่านปรีดี พนมยงค์ ถือได้ว่าเป็นวันที่มีความสำคัญอีกวันหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองการ ปกครองของประเทศไทยที่กล่าวเช่นนั้น ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากว่าในวันดังกล่าวนั้นได้มีรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นเป็น ฉบับแรกของไทย ซึ่งเราก็ทราบกันดีว่ารัฐธรรมนูญดังกล่าวนั้นเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว โดยบุคคลที่ทำการร่างฉบับดังกล่าวนี้ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุดบุคคลหนึ่งก็คือ ท่านปรีดี พนมยงค์



จากร่าง รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว จะพบว่าสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดประชาธิปไตยของท่านปรีดี โดยเฉพาะความต้องการที่จะเปลี่ยนระบอบการปกครองให้กลายมาเป็นระบอบ ประชาธิปไตยที่เป็นระบบรัฐสภา เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของประชาชนอันเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึง การยอมรับความเป็นอำนาจสูงสุดของประชาชน เห็นได้จากบทบัญญัติที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 27 มิถุนายน 2475



ขอ ยกตัวอย่าง เช่น การมีบทบัญญัติให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ซึ่งในระบอบเดิมนั้นอำนาจสูงสุดอยู่ที่บุคคลเพียงคนเดียว นั้นก็คือ พระมหากษัตริย์ โดยระบอบใหม่นี้ได้เปลี่ยนให้อำนาจมาอยู่กับคนหลายคน โดยมีรัฐธรรมนูญอันเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้ากำหนดรูปแบบแห่งการปกครอง ไม่ให้พระมหากษัตริย์อยู่กับความประสงค์ของพระองค์อีกต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหากจะกล่าวว่าท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ก่อการอภิวัติการปกครอง สร้างรัฐธรรมนูญก็คงจะไม่ผิดอะไรมากนัก



นอก จากนี้สิ่งที่สะท้อนแนวคิดประชาธิปไตยของท่านปรีดี พนมยงค์ อย่างดีก็สามารถศึกษาได้จากข้อปฎิญาณตนของคณะราษฎรก่อนที่จะเข้ารับอำนาจภาย ใต้การเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี โดยปรากฏในรายละเอียด 6 ข้อดังต่อไปนี้

1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ทางศาล ทางเศรษฐกิจของประทศให้มั่นคง

2. จะ ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ คือรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกๆคนทำจะวางเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก

3. จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศให้มีการประทุษร้ายต่อกันให้น้อยลงให้มาก

4. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคอย่างเท่าเทียมกัน

5. จะต้องให้ราษฎรมีเสรีภาพอย่างเป็นอิสระ

6. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร


ดัง นั้น จะเห็นแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยของท่านปรีดี พนมยงค์ ได้เป็นอย่างดี เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ว่า รัฐธรรมนูญที่คณะราษฎรสร้างขึ้นมานั้น ท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งขึ้นด้วย



เมื่อ เป็นเช่นนี้แล้ว เราสามารถกล่าวได้ว่าแนวคิดของท่านปรีดี พนมยงค์ที่ปรากฏในร่างเค้าโครงเศรษฐกิจหรือรัฐธรรมนูญก็ดี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสะท้อนที่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าท่านปรีดีพนมยงค์ มีแนวคิดแบบประชาธิปไตยไม่ใช่เผด็จการหรือคอมมิวนิสต์อย่างที่กล่าวหากันและ จากการที่ทำเพื่อประเทศชาติ ตามอุดมการณ์เสรีของท่าน โดยมุ่งหวังเพื่อประโยชน์ของชาติ จึงทำให้ท่านต้องถูกกำจัดจากศัตรูทางสังคมการเมืองไทย และนี้หรือคือคนดีที่ทั้งเมืองไทยไม่ต้องการผู้มีนามว่าปรีดี พนมยงค์



บทสรุป



ปรีดี พนมยงค์ มีบทบาทสำคัญอย่างมากในสังคมไทยทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและอื่นๆ ปรีดี พนมยงค์นั้นเป็นบุคคลที่ถูกให้ภาพลักษณ์ทั้งที่ดี และไม่ดี เนื่องมาจากอุดมการณ์ทางการเมืองของกลุ่มต่างๆไม่สอดคล้องกับแนวคิดของท่าน ปรีดี พนมยงค์เป็นนักเรียนกฎหมายที่เก่งและมีประสบการณ์มากมายในต่างประเทศ และผู้ที่ได้นำเอาวิทยาการที่มีความก้าวหน้ามาปรับใช้ในสังคมไทยอย่างมากมาย



ปรีดี พนมยงค์ ได้ร่วมกับกลุ่มคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองทำให้สังคมไทยต้องก้าวเข้าสู่ ยุคที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอนุรักษ์นิยมและสถาบันกษัตริย์ทำ ให้กลุ่มดังกล่าวพยายามหาแนวทางที่จะกำจัดปรีดี ออกไปจากสังคม โดยใช้วาทกรรมชุดต่างๆมาเป็นเครื่องมือ ซึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ปรีดีถูกมองว่าเป็นปีศาจ คือ กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ทำให้เขาต้องออกจากประเทศแต่ก็กลับมามีบทบาททางสังคมหลายครั้ง เช่น ขบวนการเสรีไทย และอื่นๆ



ปรีดี พนมยงค์ ถึงแก่กรรมในช่วงเวลาที่สังคมมีการต่อสู้ทางการเมืองในเรื่องที่ลุ่มลึกขึ้น คือ การช่วงชิงเนื้อที่ความทรงจำร่วมของสังคมระหว่างรัฐไทยอันมีรัฐบาลทหารและ กลุ่มอนุรักษ์นิยมคอยชี้นำกับขบวนการก้าวหน้าในสังคมไทย ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาปัญญ่ชนและผู้มีความคิดเสรีนิยมคนชั้นกลางผลลัพธ์ คือ ได้มีการสร้างภาพลักษณ์ปรีดีให้เป็นสัญลักษณ์ของเสรีนิยมซึ่งถือเป็นส่วน หนึ่งของการต่อสู้เพื่อสร้างความทรงจำร่วมของสังคมที่ให้เนื้อที่แค่สามัญชน และการเติบโตของแนวคิดทางการเมืองอื่นๆในการมีบทบาทสร้างประวัติศาสตร์สังคม ไทย






วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความยุติธรรมคืออะไร.....ใครเข้าใจบ้าง..รู้ได้ไงว่าเปงยังไง

..งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

???????????????????????????????????????????????????????????????????????????



คำว่ายุติธรรมนั้น แปลว่าอะไรกัน บ้างก็ว่ากันว่ายุติธรรมหมายถึง ความเที่ยงธรรม ความชอบธรรม ความชอบด้วยเหตุผล ตัวอย่างเช่น ศาลทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมหรือสินค้ามีราคายุติธรรม ถ้าตามหลักพุทธศาสนายุติธรรมก็คือ การเดินตามทางสายกลาง อยู่ในความพอดี ตึงบ้างหย่อนบ้าง แต่ต้องพึงระลึกอยู่ในทางที่ถูกที่ควรเท่านั้น


มนุษย์เป็นสัตว์ที่อยู่เป็นสังคม การที่อยู่ร่วมกันก็ย่อมมีการประพฤติปฏิบัติต่อกันและกัน รวมทั้งมนุษย์แต่ละคนย่อมมีแนวปฏิบัติของตนเองว่า จะกระทำอะไร อย่างไร ด้วยเหตุผลอะไร โดยธรรมชาติมนุษย์มีแนวโน้มที่จะใฝ่หาความสุข ความสบาย หลีกหนีความทุกข์ยาก ความลำบาก และโดยธรรมชาติมนุษย์อาจจะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเลวร้ายหรืออย่างเอารัดเอา เปรียบ หากว่าตนเองจะได้รับประโยชน์หรือความสุขความสบายเป็นเครื่องตอบแทนถ้าทุกคน ปฏิบัติเช่นนั้นสังคมก็จะยุ่งเหยิงวุ่นวายที่สุดแล้วก็คงไม่มีใครที่จะอยู่ ได้อย่างสุขสงบ



ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีกฏเกณฑ์ร่วมกัน การที่จะให้ผู้อื่นเคารพสิทธิของตนเองและไม่เบียดเบียนตนเอง ตนก็ต้องเคารพสิทธิของผู้อื่นและไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตนเองอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเองอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติอย่างนั้นต่อผู้อื่น



ปราชญ์ในสมัยกรีกโบราณเช่น โสเครตีส เพลโต และอริสโตเติ้ลต่างก็พยายามหาคำตอบที่ว่า อะไรคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต? ความดีคืออะไร? และมนุษย์ควรจะปฏิบัติตนอย่างไร? เอาอะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าดี? ความดีนั้นเป็นสากลหรือไม่ หรือความดีจะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมทางสังคมแต่ละยุคสมัย? ความยุติธรรมคืออะไรและใช้เกณฑ์อะไรตัดสิน?



ความยุติธรรมเป็นแม่แบบของแนวทางต่างๆ เป็นแนวทางในเกณฑ์การตัดสิน ซึ่งมีกฏหมายเป็นเครื่องมือในการทำหน้าที่ ความยุติธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดเพราะการที่คนเราจะกำหนดว่าอะไรคือ ความดี แล้วความดีกับความชั่วต่างกันตรงไหนเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันอย่าง ละเอียด




โสเครตีสเชื่อว่าถ้าเราไม่สามารถหาคำนิยามของคุณธรรมเหล่านี้ได้ เราก็จะไม่สามารถมีความรู้เกี่ยวกับคุณธรรมได้ และการตัดสินว่าการกระทำหนึ่งมีความยุติธรรม หรือกล้าหาญ ฯลฯ หรือไม่ ย่อมปราศจากหลักเกณฑ์ที่น่าเชื่อถือ



คุณแม่คนนึงแบ่งเค้กให้ลูกแฝดทั้งสองคน คุณแม่แบ่งให้ลูกคนที่โตกว่าไม่กี่ชั่วโมง น้อย กว่าอีกคน


คนโต บอกคุณแม่ไม่ยุติธรรม ถึงผมจะแก่กว่าไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่ใช่ว่าผมจะได้เค้กน้อยกว่า(สมมติฮะสมมติ)

แล้วคุณคิดว่าความยุติธรรมคืออะไร

การแบ่งครึ่งๆ อย่างเท่ากัน หรือเปล่า.....

ขณะที่พี่คนโตกว่าบอกไม่ยุติธรรม ส่วนคนน้องว่ามันยุติธรรมดีแล้ว

หรือความยุติธรรมก็คือเรื่องของผลประโยชน์?






ในความเห็นคิดว่าความยุติธรรมก็เหมือนกับประชาธิปไตยคือ ความคิดเห็นของคนส่วนมากที่มีความคิดเห็นอย่างเดียวกัน ผลประโยชน์ที่ได้รับคือผลประโยชน์ที่กลุ่มคนได้รับเหมือนกัน คิดว่าเหมือนผลประโยชน์ของส่วนรวมนั่นแหละ แน่นอนว่าบางครั้งความยุติธรรมมันต้องขัดกับผลประโยชน์ของคนกลุ่มๆนึง

ยกตัวอย่างเช่น การกำหนดให้มีกฎหมายบังคับใช้ในสังคม ถ้าคนไหนทำผิดตามหลักเกณฑ์ของสังคมนั้นจะมีบทบัญญัติในการลงโทษ ซึ่งคนส่วนมากเห็นด้วยกับหลักการข้อนี้ ตัวอย่างเช่น คนที่ขโมยของถูกปรับ ฯลฯ นั่นคือความยุติธรรมของสังคม




ความยุติธรรมเป็นตัวกำหนดทิศทางของสังคม ซึ่งความยุติธรรมของแต่ละสังคมไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น หากสังคมหนึ่งทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า การขโมยของเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ถือว่ายุติธรรม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วความยุติธรรมที่เป็นที่นิยมมากที่สุดเป็นความ ยุติธรรมที่ต้องอยู่คู่กับ คุณธรรมและจริยธรรม ที่เป็นเครื่องช่วยในการกำหนดกฎเกณฑ์ว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดี ถูกต้อง และเหมาะสม แล้วความยุติธรรมแบบไหนที่คนส่วนมากจะยอมรับ




ความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ ? ความยุติธรรมนั้นเมื่อเราแยกจากหมวดหมู่ของคำ ก็จะรู้ว่า คำว่าความยุติธรรมนั้น เป็นนามธรรม(abstract noun) คือไม่มีตัวตนจับต้องไม่ได้ ตามหลักวิทยาศาสตร์จะขออธิบายดังนี้ ความยุติธรรมนั้นจับต้องไม่ได้ ความยุติธรรมมีจริงเพราะเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็น เงื่อนไขไปสู่ข้อยุติของปัญหานั้นๆ ความยุติธรรมสัมผัสได้ แต่สัมผัสได้ด้วยใจ(mind)เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเพราะว่าจิตใจ (mental) ของคนเราไม่เหมือนกัน

อยากจะ บอกว่าความยุติธรรมคือทุกคนได้รับความเท่าเทียมกันในการตัดสิน ก็ผิดอีก เพราะว่า คนเราสถานภาพไม่เหมือนกันและเจตนาก็ไม่เหมือนกัน เอาง่ายๆ แค่เรื่องฆ่าคน คนที่รับเงินมาฆ่าคน คนที่ฆ่าคนเพราะล้างแค้นให้พ่อแม่ คนที่ทำอุบัติเหตจนคนตาย คนที่บันดาลโทสะเพราะโดนยั่ว สมควรรับโทษเท่ากันหรือเปล่า ถ้าไม่เท่ากัน แต่ละคนควรได้รับเท่าไหร่ ถามแค่นี้รับรองว่า 10 คน ก็ตอบแทบไม่เหมือนกันซักคนแล้วล่ะ แล้วจะหาความเท่าเทียมกันจากไหน ตอบ ก็ผู้มีอำนาจอีกล่ะ ที่กำหนด




กลับเข้ามายังคำถามของเรา พวกคุณลองมองไปยังสังคมรอบๆตัวคุณดู โลกนี้มีความยุติธรรมอยู่จริงๆหรือหรือว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่อุปโลกน์ขึ้น เพื่อนที่จะปลอบใจตัวเองว่า เราต้องเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ตั้งแต่เราเกิดมา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามีความยุติธรรมเป็นที่ตั้งจริงๆอย่างนั้นหรือ ในความคิดของดิฉัน ดิฉันว่าความยุติธรรมนั้นมีตัวตนอยู่จริง เพียงแต่ มันอาจจะน้อยมากๆ ประมาณว่าร่อนหาทองในทะเลอะไรประมาณนั้น จะไม่กล่าวพูดเยิ่นเย้ออะไรมากมายนัก แต่อยากจะขอความเห็นของทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมว่า ในความคิดของท่าน ทุกวันนี้.. .ความยุติธรรมคืออะไร